วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

[ b i g 7 s h o t s i n 3 y e a r s ]





ตั้งแต่ปี 2016 เรามีโอกาสทำเงินได้กี่ครั้ง สำหรับแอดมินมองว่ามี ครั้งที่เราสามารถเล่นได้แบบไร้กังวล เล่นแล้วโอกาสลุ้นกำไรได้เลย เป็นตอนที่เราสามารถออกหมัดหนักๆได้แบบต่อยเอาชนะน็อคได้เลย ครั้งที่แอดมินใส่เงินเข้าไปในพอร์ตมากที่สุดก็คือ วันที่SETเบรคกรอบครั้งที่ 6 (actionที่มุมขวาบน !! )
-
วันนั้นจำได้บรรยากาศดีมากเพราะ SET คลายกังวลเรื่องการเมือง แอดมินรัวหมัดไม่ยั้ง หุ้นในวันนั้นยังคงทำกำไรได้ จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้ขาย เพราะเค้าไม่มีแนวโน้มให้ต้องได้ขายเลย
-
แอดมินเห็นอะไรในกรอบทั้ง กรอบแอดมินเห็นกองทุนดันทุกกรอบของการเบรค เห็นไหมครับถ้าเงินใหญ่ดัน SET มันจะเกิดอะไร แอดมินคือนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นที่ไม่ขอต่อยแบบเก็บคะแนน (มันเหนื่อย) แต่ขอจังหวะ SET เปิดโอกาส แอดมินจะควงหมัดหนักๆ และ อัดเต็มแรง กะเอาน็อค
-
รอจังหวะดีๆนะครับแฟนเพจทุกท่าน เมื่อเราเล่นตอน SET ยังไม่เบรคเราจะได้ค่าขนม แต่ถ้า SET เบรคเมื่อไหร่ จากที่ได้แค่ค่าขนม พอร์ตของเราจะกลายเป็นพอร์ตที่เป็นต้นแบบการเทรดเป็นของตัวเราเอง เมื่อเทรดแล้วต้องได้กำไร💰
-
Have a good day 
ครับ

วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2562



[ w y c k o f f l o g i c ]

การขึ้นลงของหุ้นทุกตัวมีรอบ (cycle) แอดมินเองทีแรกที่รู้จัก Wyckoff มีคำถามเกิดขึ้นมาว่า กราฟตัวนี้มันน่าเชื่อถือหรือเปล่าทำไมผู้คนส่วนใหญ่โดยเฉพาะท่านที่เก่งๆเรื่องหุ้นถึงได้เชื่อกราฟนี้ และชอบจะอ้างอิงพฤติกรรมของหุ้นผ่านกราฟนี้ พูดเป็นตุเป็นตะว่าหุ้นมีพฤติกรรมแบบเดียวกันหมดเพราะพฤติกรรมของคนไม่เปลี่ยน จะนานแค่ไหนตลาดเปลี่ยนแปลงไปยังไง มีสิ่งที่ไม่เปลี่ยนเลยคือพฤติกรรมของนักเล่นหุ้น ที่มีทั้งโลภและกลัวอยู่ในตัวแทบทุกคน
-
เมื่อแอดมินได้ศึกษาลึกลงไปจริงๆจะพบว่า Wyckoff logic ที่เห็นอยู่นี้ได้จากการ Plot กราฟของจิตวิทยามนุษย์ในตลาดหุ้น มันมีความแม่นยำมากและเป็นกราฟที่สามารถทำนายตลาด หรือ ใช้ในการอ้างอิงการขึ้นลงของราคาหุ้นได้เลย แม่นยำชนิดที่คล้ายๆกับ Phase diagram ของการหลอมเหลวโลหะเหล็กเลยก็ว่าได้ ( Phase diagram ของเหล็กที่อุณภูมิหลอมต่างๆกันจะได้คุณสมบัติของน้ำเหล็กที่ต่างกัน) มันคือวงจรชีวิตของหุ้นที่ถูกสร้างขึ้นจากบุคคลที่ชื่อว่า Richard Demille Wyckoff วิธีการของ Wyckoff สามารถนำไปใช้กับตลาดที่ซื้อขายได้อย่างอิสระในทุกตลาดในทุกสินค้าของตลาดหุ้น แอดมินจะระบุแต่ละ Phase ในแต่ละ Phase ของกราฟ Wyckoff นี้ให้เห็นถึง Life cycle (วงจรชีวิตของหุ้น1ตัว) ผ่านกราฟ Time frame week ของ THCOM ซึ่งเป็น Chart ที่สนับสนุนทฤษฎี Wyckoff อย่างเห็นได้ชัด พร้อมกับการแทรกด้วยการระบุกฎ 3 ข้อของ Wyckoff ในบทความนี้ด้วย
-
Phase1 : #accumulation
เป็นขั้นตอนของการสะสม งง ไหมครับ การสะสม ตอนที่รู้จักคำนี้ใหม่ๆ แอดมินงงว่าอะไรคือสะสม?? ที่แอดมินต้องเริ่มต้นอธิบายที่ Phase นี้เพราะ Phase นี้ซึ่งก่อนนี้แอดมิน งง ที่สุดเรื่องของการสะสม ขออธิบายในฐานนะเม่าคนนึงที่ไม่เคยสะสมอะไรเลยในตลาด รู้แต่เพียงการซื้อและขายเท่านั้น มาวันนี้ขอให้แฟนเพจได้เชื่อว่า ‘การสะสม’ มีอยู่จริงๆ การสะสมที่ว่านี้คือการซื้อสะสมจำนวนหุ้น เหมือนนักสะสมอะไรบางอย่างที่ต้องการมีของดีๆไว้ในมือให้มากที่สุดโดยที่ไม่กลัวการแกว่งขึ้นของของราคา คนที่จะสะสมหุ้นใน state นี้ได้คือใคร แล้วทำไมมาซื้อเอาตอนนี้ล่ะ ?? คนกลุ่มนี้คือคนที่ดีดเครื่องคิดเลขเอามูลค่าที่แท้จริง (Fair Value) ของหุ้นแต่ละตัวออกมาดู ประเมินราคาหุ้นออกมาเป็นตัวเลขด้วยวิธีที่พวกเค้ามี (แอดมินไม่รู้หรอกว่าทำยังไง) เมื่อคำตอบทุกอย่างออกมาว่า OK ควรซื้อ เค้าก็เริ่มซื้อแล้ว ในตอนที่ราคาหุ้นอยู่ในช่วงสะสมนี้ จะมีคนเหล่านี้ซื้อของมาเก็บสะสมไว้เรื่อยๆ เค้าเหล่านั้นคือ Smart Money (รวม VI เข้าไปในนั้นด้วย) สะสมของในตอนที่ทุกคนไม่สังเกต เปรียบ Phase นี้เหมือนอ่าวทะเลที่บรรดาปลายังไม่มีการอพยพมาอยู่มากนัก ก็มีคนส่วนน้อยที่ที่ออกเรือหาปลาที่นี่ จับปลาทุกตัวที่เค้าสามารถจับได้ ค่อยๆเก็บค่อยๆเล็มเพราะปลามีไม่เยอะ เก็บได้เท่าที่เก็บและจับได้เท่าที่จับนั่นคือคนขายของมีน้อยคนซื้อสะสมก็มีน้อย เก็บเงียบๆไม่ให้คนอื่นสังเกตเห็น คนขาย (Supply) ที่เบื่อหุ้นเพราะราคาไม่กระดิกก็รินขายออกมา คนรอเก็บ (Demand) ก็เก็บเท่าที่เค้ารินออกมานั่นอหละ Smart Money กลุ่มนี้เป็นพวกใจเย็นมาก เก็บหุ้นทั้งที่ไม่หวังกำไรอะไรเลยในระยะกลาง เค้าทนได้หากราคาหุ้นจะลง 1-10% ค่อยๆเก็บ อย่าลืมนะครับ Smart money มีหลายคนทั้งคนที่รู้ข่าววงในและคนเงินใหญ่ที่ตามกลิ่นเจอ มีแต่เม่าแหละที่ไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรเลยใน Phase นี้ แม้แต่ Program เองก็จับไม่ได้เพราะเค้าเก็บของกันเงียบมาก เหตุที่ต้องค่อยๆเก็บเพราะเค้าต้องการของให้มากที่สุด มีให้เยอะที่สุดเพราะเมื่อมีเยอะการเดินเกมใน Phase ต่อไปเค้าจะทำได้ไม่ยาก การเก็บของเค้าเหล่านั้นส่งผลให้ราคาหุ้นมีสภาพคล่องน้อยลง (สภาพคล่องก็คือ % Free Float ที่เจ้าของบริษัทแบ่งหุ้นออกมาขายให้มหาชนได้ถือครอง มหาชนก็รวมถึง Smart Money ที่กำลังซื้อของราคาถูกใน Phase นี้ด้วยเมื่อเค้าซื้อหุ้นไปเยอะๆ %Free Float ที่ทางบริษัทจดทะเบียนแบ่งมาให้ก็จะไปกองอยู่กับคนกลุ่มนี้ เช่น %Free Float 25% มี Smart Money ซื้อไปไว้ในครอบครองแล้ว 5% จาก 25% และมีมหาชนเผ่าเม่าทั่วไปถือ 20% ที่เหลือ นั่นหมาถึงเค้ามีอำนาจในการเล่นเกมและกำหนดทิศทางหุ้นตัวนั้นๆได้ 20% นั่งเอง) การสะสมหุ้นจะใช้เวลาค่อนข้างนาน 3 เดือน 6 เดือน หรือ เป็นปี จับปลามาไว้จนกว่าปลาเหล่านั้นจะหมดจากอ่าว รอให้ฤดูการใหม่ที่ฝูงปลาอพยพมาอยู่ คราวนี้ก็ถึงเวลาที่เค้าจะใช้อวนลากปลาทั้งฝูงแล้ว
-
Phase2 : #markup
จากการที่เหล่า Smart Money เก็บของหรือสะสมหุ้นกันจนครบทั่วทุกคนแล้ว กลุ่มคนเหล่านั้นจะหาจังหวะที่ตลาดเป็นใจเพื่อเปิดเผยตัวตันและเปิดเกมการเล่น Money game เนื่องด้วยต้นทุนของพวกเค้าต่ำมาก เค้าจะรอจังหวะที่เหมาะสมในการเริ่มเกมดันราคาหุ้นขึ้นไป (บางกรณีในหุ้นเล็กจิ๋วจะเรียกว่าการปั่นหุ้น แต่หุ้นขนาดกลางและใหญ่ คนเหล่านนี้ต้องสามัคคีกันดันราคา) การดันราคาหุ้นที่เค้ามีอำนาจส่วนหนึ่งในการควบคุมเกมนั้นทำได้ไม่ยาก เค้าเพียงเคาะขวาซื้อที่ราคา Offer ทั้งหมดมาไว้ในมือ เพียงเท่านี้ความได้เปรียบก็อยู่ในมือของ Smart Money แล้ว หาก Smart Money ซื้อตอนเริ่ม Mark up นั่นหมายถึงเค้าซื้อเฉลี่ยต้นทุนของตัวเอง แน่นอนต้นทุนเค้าเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงได้เปรียบราคาต้นทุนของบรรดาเม่าปีกอ่อนผู้เชื่องช้าในตลาดอยู่ดี เพราะอะไรครับ เพราะเม่าจะเห็นว่าหุ้นวิ่งก็ตอนที่ราคาได้ขึ้นไปแล้วพักใหญ่ แต่ถึงกระนั้นการซื้อหุ้นที่ถูกจังหวะ และซื้อแล้วมีโอกาสที่หุ้นนั้นสามารถทำกำไรได้ก็คือการซื้อหุ้นใน phase mark up หากเราจะเล่นต้องเข้าเล่นตรงนี้ ในจังหวะที่ smart money เริ่มมีการซื้อหุ้นเพิ่มในราคาที่สูงขึ้น เราจะเห็นสัญญาณการกระตุกผ่าน volume ที่สูงมากผิดปกติ ตรงนี้ phase mark up ราคาของหุ้นจะขยับขึ้นเรื่อยๆในแบบที่เราสังเกตได้ การเข้าซื้อแอดมินให้ความสำคัญกับตรงนี้มาก pivot buy point จะเกิดขึ้นเป็นแท่งเทียนเขียวยาวให้เราเห็นหลังจากที่ smart money เปิดเกมเรียกแขก (การเริ่มต้นเรียกแขกอาจจะใช้จังหวะของงบการเงินที่กำลังจะคลอดในการเปิดเกมที่สมเหตุสมผล ซึ่งก็มีโอกาสเรียกคนซื้อได้อีกเยอะเพราะเมื่อบริษัทนั้นมีกำไรดีมาก หลายคนก็ต้องการเป็นเจ้าของ) แอดมินเคยสงสัยว่าทำไมเรียกนักลงทุนรายย่อยว่า ‘แมลงเม่า’ มาวันนี้รู้แล้วนะ คนที่เฝ้าสังเกตตลาดจะเห็นความเคลื่อนไหมตรงนี้และเข้าซื้อหลังจากการเกิด pivot buy point ในแท่งแรก (นี่คือความลับของนัก รันเทรน ในหุ้นขาขึ้น คุณจะทำกำไรได้คำโต คุณจะทนการย่อได้ไม่ยาก คุณจะอยู่กับเทรนขาขึ้นในขณะที่หุ้นตั้งหน้าตั้งตาทำกำไรให้คุณอย่างต่อเนื่องจากการซื้อตรงนี้ที่ถูกจังหวะอย่างแม่นยำ) หลังจากการดันราคาจากเงินใหญ่ผู้ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าทุกคนที่เข้ามาช่วยซื้อ การช่วยกันซื้อตรงนี้เป็นการแสดงออกถึงปริมาณความต้องการหุ้นจากผู้คนจำนวนหนึ่ง ซึ่งก็ยังคงไม่ได้มีมากนัก หลังจากราคาหุ้นขึ้นไปได้อีกพักหนึ่ง เราจะเห็นว่ามีการนำเสนอข่าวสนับสนุนหุ้นตัวนั้น เพื่อเรียกคนที่ยังตกรถให้มาร่วมขึ้นรถคันนี้ เรียกเหตุการณ์เรียกแขกตรงนี้ว่า Social Participate จะเกิดขึ้นตอนไหนบอกไม่ได้เลยครับ แต่ทั้งหมดเป็นการตลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง การนำเสนอข่าวเป็นหน้าที่ของสื่อ แอดมินไม่ได้ Focus ที่เรื่องข่าวสารหุ้นรายตัวมากนัก เพราะทุกข่าวสารล้วนบิดเบือนมาแล้ว ทุกท่านก็ทราบดี แอดมินจะให้ความสำคัญที่สุดกับจุดซื้อเป็นอันดับแรก เมื่อเราได้ของมาตอน smart เปิดเกม ข่าวไหนก็ไม่สำคัญแล้วหากหุ้นนั้นสามารถทำกำไรให้เราได้แล้ว ตลอดระยะทางขาขึ้น หรือ state mark up นี้ ราคาหุ้นจะมีการย่อไปตลอดทางขึ้น หากราคาหุ้นที่กำลังขึ้นนั้นเจอกับการปรับฐานของตลาด เค้าก็จะปรับฐานตามด้วย แต่สิ่งที่พิเศษที่สุดคือ หุ้นที่ราคาขึ้นไปได้ซักพักแล้ว เค้าจะมีโมเมนตั้มในขาขึ้น ก่อนนี้แอดมินไม่อยากจะยอมรับเรื่องนี้นะได้โมเมนตัมอะไรเนี่ย มาวันนี้แอดมินเห็นกับตาหลายครั้งแล้วว่าราคาหุ้นที่กำลังขึ้น เหมือนการเหวี่ยงลูกตุ้มขึ้นไม่มีผิดเพี้ยนเลย หากจะมีการย่อแรงๆ หรือ ปรับฐาน เค้าจะทำเพื่อสลัดนักลงทุนใจเสาะออกไป นักลงทุนที่ช่างจินตนาการถึงความเลวร้ายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เค้าจะขายแล้วนั่งข้างสนามเทรด ยังคงเหลือเพียง smart money ผู้ซึ่งมีต้นทุนต่ำที่สุด และมีความศรัทธาในวิธีการทำเงินด้วยการถือหุ้นระยะยาว หลังจากการปรับฐานสิ้นสุด ราคาหุ้นก็พร้อมที่จะตั้งลำและกลับขึ้นมาอยู่ในเทรนขาขึ้นได้ดังเดิม มีราคาย่อลงมาชนที่จุด high ก่อนหน้า และยกขึ้น จะเป็นแบบนี้อยู่หลายครั้ง ย่อและยก ย่อและยก มันก็คือการขายทำกำไรของรายย่อยไปตลอดทางขาขึ้น มีการขายหมูของรายย่อยหลายครั้งตลอดช่วงขาขึ้นนี้ และเค้าก็กลับมาซื้อมันคืนตอนที่ราคา break out ขึ้นไปได้ทุกครั้ง ตลอดระยะเวลาช่วง mark up นี้เราสามารถถือหุ้นที่ซื้อต้นเทรนทำกำไรได้ตลอดทาง นานเท่าไหร่ไม่รู้ ให้ถือจนกว่าตลาดจะส่งสัญญาณขาย state นี้จะมีแท่งเทียนสีเขียวมากกว่าแท่งสีแดง อัตราส่วนระหว่างสีแดงต่อสีเขียว(จำนวนแท่งแดง / จำนวนแท่งเขียว) น้อยกว่า 1 และในที่สุดเมื่อราคาหุ้นขึ้นไปได้สูงจน smart คนที่เก็บของมาตั้งแต่ Phase แรก นั้นพอใจในราคาแล้ว เค้าจะเริ่ม ‘ขายของ’ โดยการขายของจะเกิดขึ้นใน Phase ที่ 3 ดังนี้

Phase 3 : #distribution
เมื่อราคาหุ้นเดินมามาถึงเป้าหมายที่เหล่า smart money พอใจ คราวนี้การขายของแบบจริงจังจะเริ่มขึ้นหลังจากที่เค้าได้ขายของส่วนหนึ่งออกไปแล้วในช่วง mark up ซึ่งเป็นช่วงราคาที่เค้าสามารถปล่อยของออกมากได้ เพราะช่วงนั้นเค้าปล่อยของได้ง่ายเพราะมีผู้คนจำนวนมากแย่งซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรเพราะราคาหุ้นเค้าทำขาขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง จนมาถึง state ที่3 ซึ่งเป็น state ที่เรียกว่า กระจายของ หุ้นในมือของ smart money จะถูกเทขายออกมา โดยก่อนจะมีการเทขายหุ้นนั้น บางกรณีจะมีการจุดพลุครั้งสุดท้ายเพื่อเรียกคนมาซื้อ เปรียบเหมือนการประกาศหมดโปรโมชั่นของร้านขายปลีก นี่เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ประกาศโปรโมชั่นซื้อของสุดคุ้มวัตถุประสงค์เพื่อขายของใน stock ออกให้หมดนั่นเอง การเข้าสู่ phase distribution จะค่อยๆดำเนินไปอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อน แต่หากท่านสังเกตได้ แน่นอนจะเห็นความผิดปกติของการขายที่ก่อนหน้าที่ไม่ปรากฎมาก่อน ในบางกรณีการกระจายของจบลงในระยะเวลาแค่ 1 สัปดาห์ smart money ขายของออกทุกราคาที่มีการต่อรองราคา สิ่งนี้เองทำให้เกิดแท่งเทียนสีแดงแทงลึกลงมาเป็นแท่งยาว บางกรณีเลวร้ายถึงขึ้นติด Floor (ราคาหุ้นตกลงมา 30%) และเลิกเล่นไปเลย หรือที่เรียกว่าจบรอบนั่นเอง ถามว่าในกรณีแบบนี้เห็นบ่อยไหม เราจะเห็นกันบ้างใน 1 ปี อาจจะมี 4-5 ตัวแต่หุ้นเหล่านั้นเป็นหุ้นที่ถูก control ด้วยเจ้ามือใจเหี้ยมพอตัว และเป็นหุ้นที่สภาพคล่องต่ำสุด จึงจะเกิดเหตุการณ์เลิกเล่นในแท่งเดียวแบบนั้น ถ้าเป็นการ distribution ปกติ ในหุ้นที่พอจะมีพื้นฐานการทำธุรกิจที่ดำเนินมาต่อเนื่องนั้น ตรงการกระจายของจะกระทำเป็นช่วงๆ แรงขายจะเริ่มมีถี่ขึ้นเรื่อยๆ ราคามีการลงมาทดสอบ low ก่อนหน้าหลายต่อหลายครั้ง และ เมื่อราคาขยับขึ้นได้ก็มักจะไปหยุดที่ high เดิมก่อนหน้า เราจะสังเกตการชน high เดิมก่อนหน้านั้นจะมีถี่ขึ้นแต่ราคาไม่สามารถทำราคาสูงสุดใหม่ได้เลย ชนแล้วพัก ชนแล้วพัก อยู่อย่างงั้น จนแนวนี้กลายเป็นแนวต้านที่ผ่านได้ยาก บางกรณีการชนแล้วลงบ่อยครั้งแบบนี้คือการพักฐานในขาขึ้นก็อาจจะเป็นไปได้ เกิดการ re-accumulation ขึ้นก่อนที่ราคาจะเดินทางต่อเพราะ smart money ยังไม่ขาย อยากให้ท่านสังเกตตรงนี้ให้ดีๆนะครับระหว่าง re-accumulate กับ การเริ่มต้นการเกิด distribution ราคาที่ไม่สามารถไปต่อได้เป็นสัญญาณที่สำคัญที่สุดใน phase นี้ที่เราเห็นได้ผ่าน chart ราคาแบบแท่งเทียน (แอดมินดูราคาด้วยแท่งเทียน)แต่การชนแล้วไม่ผ่านนี้เราชะลอการตัดสินเค้าหน่อยนะครับ อย่ารีบร้อนตัดสินว่าเค้าจะเทขายกันแล้วเดี๋ยวจะกลายเป็นขายหมูไปอีก และสัญญาณที่สำคัญอีกหนึ่งอย่างคือ การที่ราคาย่อมาหลายครั้งหลังจากชนแนวต้าน และอยู่มาวันหนึ่งเกิดแรงขายขึ้นมาจำนวนมาก ผู้คนแย่งกันขายของจนทำให้ราคาหลุดจาก low ก่อนหน้าลงมาได้ แบบนี้ถือเป็นความผิดปกติที่เราต้องใส่ใจ เป็นการเริ่มต้นกิจกรรมบางอย่างของคนเงินหนาที่อาจจะรู้เรื่องบางอย่างก่อนแล้วชิงออกของ ขายของยัดใส่มือ เม่าที่โลกสวยว่าราคาจะไปต่อได้อีก ที่แย่ไปกว่านั้น ราคาหุ้นลงมาทำ lower low ได้อีก และเมื่อราคาเด้งขึ้นไปก็ไม่เคยจะผ่าน hifh เดิมได้ซักที ราคาทำ low ลงไปต่อเนื่อง มีแท่งอดงมากกว่าแท่งเขียว ทำให้แท่งเทียนเรียงตัวกันลงไปเป็นแนวโน้มที่อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด ตรงนี้ชัดแล้วว่า มีคนไม่อยากเก็บของไว้ในมือแล้ว เราต้องจับสังเกตให้ได้นะครับ เพราะมีเพียงเราเท่านั้นที่action กับตรงนี้ได้รวดเร็วที่สุด ใน phase นี้เป็น phase ที่หลายท่านที่ทำการถือหุ้นต้องลด position ลง หรือบางท่านอาจจะขายหมดแล้ว ตั้งแต่ราคาหุ้นทำ lower low ให้เห็น phase distribution นี้จะเป็น phase สุดท้ายและเป็นโอกาสสุดท้ายที่จะทำการขายหุ้นออกสำหรับท่านที่รันเทรนมาตั้งแต่ต้นของ phase1 จะมีกำไรติดมือพอสมควร บางกรณีที่หุ้นราคาวิ่งได้ต่อเนื่องเป็นเวลานานก็ทำให้ผู้ถือหุ้นมากำไรเป็นเด้ง (100%) หรือ 2 เด้งได้เลยในรอบหนึ่ง เมื่อจบ phase นี้ราคาจะเริ่มเป็นขาลง แท่งแดงจะเริ่มถี่ขึ้น อัตราส่วนระหว่างสีแดงต่อสีเขียว(จำนวนแท่งแดง / จำนวนแท่งเขียว) สูสีกันเลยอาจจะมีค่าเป็น 1 และราคาทำ lower low ต่อเนื่องจนในที่สุดราคาเข้าสู่ phase สุดท้ายอย่างสมบูรณ์

Phase 4 : #markdown
ส่วนตัวตั้งแต่เข้าตลาดแอดมินมีการซื้อหุ้นใน state mark down นับครั้งได้ อาจจะแค่ครั้งเดียวหรืออย่างมากไม่เกิน 3 ครั้ง เนื่อด้วการเรียนรู้การเก็งกำไรในตลาดหุ้นตั้งแต่ตอนเริ่มเข้าตลาด ผู้รู้ก็สอนว่าต้องเล่นหุ้นในขาขึ้นเท่านั้น การซื้อหุ้นในขาลงทุกครั้งก็ไม่ได้มีผลลัพธ์ที่น่าจดจำอะไรเลย ดังนั้นท่านที่กำลังตะบี้ตะบันซื้อหุ้นโดยที่ไม่ได้ให้ความสนใจกับ Wyckoff ใน state นี้ แอดมินเดาว่าท่านกำลังพบกับความยากลำบากในตลาด พบกับความกลัง กังวล และสิ้นหวัง ที่กำลังกัดกินเงินของท่านให้หายไปเรื่อยๆ ไม่แค่นั้นมันกัดกินกำลังใจของท่านไปด้วย เสียเงินความรุนแรงว่าแย่แล้ว เสียกำลังใจยิ่งแย่กว่า เมื่อราคาหุ้นเข้ามาถึง state นี้ท่านที่เคยซื้อหุ้นในช่วง mark down มาก่อนจะมีประสบการณ์ตรงและจะอินกับบทความของแอดมินได้ดีทีเดียว ส่วนตัวแล้วแอดมินไม่ทราบเหตุผลที่แท้จริงว่า ใครกันที่ซื้อหุ้นตรงนี้ และซื้อเพื่อหวังอะไรจากตลาดทั้งที่ก็เห็นชัดแล้วว่าหุ้นคือขาลงที่ชัดเจน อาจจะเป็นไปได้ที่ว่ามีนักช้อนหุ้นเข้าใจว่าราคาหุ้นได้ลงมาต่ำมากแล้ว การซื้อหุ้นตรงนี้น่าจะได้ราคาถูก เพราะจินตนาการไปเองว่าหุ้นพื้นฐานดี ราคาควรจะกลับขึ้นไปได้ในไม่ช้า จริงหรือ?? ที่ท่านเข้าใจแบบนั้น ท่านรู้ไหมว่าคลื่นน้ำทะเลที่กระเพื่อมขึ้นลงมันจะมีพลังงานกลที่สร้างโมเมนตั้มให้มวลน้ำซัดเข้าฝั่ง ท่านจะเห็นชายทะเลโดยมากเค้าจะทำกำแพงหินกั้นการซัดของน้ำเพื่อป้องกันการกัดเซาะขอบฝั่ง และราคาหุ้นก็เหมือนกันนะครับ อันนี้คือเรื่องจริงราคาหุ้นที่กำลังลง (หรือขึ้นก็ตาม) เค้าจะมีพลังงานของเม็ดเงินที่วิ่งอยู่ในตลาดจำนวนมากสร้างโมเมนตั้มในขาลงได้อย่างต่อเนื่อง นำโดยพลังงานจากคนที่ต้องการขาย เม็ดเงินคือมวลน้ำที่กำลังซัดด้วยแรงของการเคลื่อนที่ ราคาหุ้นเค้าจะลงแล้วลงอีก มีผู้คนที่ต้องการขายอยู่มากมายในตลาด และเช่นกันคนที่ต้องการซื้อก็มีมากเช่นกัน การต่อรองราคาเกิดขั้นกับท่านที่ว่าขอซื้อในราคาที่ต่ำลงมาหน่อยจะถูก Matched อย่างต่อเนื่อง Matched ในราคาที่ต่ำลงเรื่อยๆ ของราคาถูกได้ขนออกมาขายจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม รวมๆแล้วราคาหุ้นอยู่ใน state นี้คือ state แห่งความสิ้นหวัง ทุกคนที่เข้ามารับของ หรือรับซื้อหุ้นในราคาช่วงนี้ ในที่สุดท่านจะทนไม่ไไหวและขายมันออกไปในราคาที่ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดังนั้นใน state นี้ท่านจะเห็นว่ามีแท่งเทียนสีแดงจำนวนมากเหิดขึ้น อัตราส่วนระหว่างสีแดงต่อสีเขียว(จำนวนแท่งแดง / จำนวนแท่งเขียว) เกิน 1 ซึ่งอันตรายมากๆ ยิ่งถ้าค่าความเบี่ยงเบนตรงนี้มากเท่าไหร่ การที่ราคาหุ้นลงมันจะยังไม่สิ้นสุด ราคาทำ lower low ต่อเนื่องและตอนที่ราคาเด้งกลับ (bounce) ก็ไม่สามารถที่จะเด้งไปแตะ high ก่อนหน้าได้เลย เมื่อ supply (คนที่ต้องการขาย) มีล้นตลาด ราคาหุ้นจะไม่มีทางหยุดตก ในบางกรณีราคาสามารถดีดกลับขึ้นไปทำราคาที่สูงกว่า high ก่อนหน้าได้ แต่ท่านรู้ไหมครับ มันเป็นเพียงการหายใจเฮือกสุดท้ายก่อนตาย การให้ความสนใจหรือ focus ไปที่การกระเพื่อมของราคาหุ้นในขาลง คิดว่ามันเป็นการกลับตัวแล้วคิดว่าเป็นสัญญาณซื้อ ท่านจะต้องได้รับผลลัพธ์ที่ไม่พึงปรารถนา การตกของราคาหุ้นใน state นี้จะสิ้นสุดลงจากการทำ selling climax คือการที่ราคาหุ้นลงไปจนสุดแล้ว คนขายก็ขายจนไม่มีหุ้นติดมือกันแล้ว เรียกง่ายๆคือ บาดเจ็บกันถ้วนหน้าจากการพยายามจะซื้อขายหุ้นใน state mark down สุดท้ายจบลงด้วยความเจ็บปวด อ่อนล้า ไร้แรงบันดาลใจ หมดกำลังใจ อยากจะออกจากตลาด ซึ่งคนที่ออกจากตลาดมีอยู่จริง เมื่อหุ้นถูกเปลี่ยนมือกระจายไปอยู่กับผู้คนหลายกลุ่มกระจายกันไป เมื่อเวลาผ่านไปเราจะเห็นผู้เล่นที่เข้ามารับเอาของ เริ่มซื้อของในราคาที่อยู่บนกระดาน เค้าคือใครครับ คนเดิมที่อยู่ใน Phase ที่1 ไงครับ smart money และ vi ผู้ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการคำนวณมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น เริ่มจะเข้ามาเก็บของอีกแล้ว หลังจากที่เค้าออกจากตลาดไปตั้งแต่ state ที่ 2 mark up เค้าหนีออกจากตลาดไปนานแล้วนะครับท่านรู้รึยัง ออกไปพร้อมกับกำไรก้อนโต และปล่อยให้ฝูงเม่าผู้เข้าตลาดมาแบบงงงงและไร้ความรู้ ไร้เป้าหมาย ให้ตีกันเอง กินเงินกันเองอยู่ตั้งนาน (ตั้งแต่ phase3 มาจน phase4) ?? มาถึงตรงนี้เค้ากลับมาอีก กลับมาเก็บของอีกเพื่อสร้างเกมใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง มันเป็นเกมแบบเดิมที่เค้าเหล่านั้นเคยทำมันได้ผล และมันก็ได้ผลจริงๆ นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้เม่าผู้มีปีกบางๆต้องเจ็บตัวและเป็นผู้ที่ขาดทุนในตลาดถึง 80% มีเม่าเพียง 20% เท่านั้นที่มีกำไรในตลาด และอีก 5% ของเม่าเป็นผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดเป็นพญาเม่าปีกทอง มาถึงตรงนี้ก็ครบ loop ของ Wyckoff ที่แอดมินได้จิ้มแป้นพิมพ์กว่า 2 วันเพื่ออธิบายด้วยความหวังดีถึงกระบวนการเกิดและดับของวงจรชีวิตหุ้นโดยมีคนหลายกลุ่มร่วมเล่นในเกมนี้
-
Smart money ทุกคนมีนิสัยไม่เหมือนกัน หากเราเข้าใจว่าเรากำลังเล่นกับอะไร เราไม่จำเป็นต้องกลัว ขอให้เรามีความรู้ มีจังหวะที่ดีในการเข้าซื้อมีpassion ที่ต้องการความสำเร็จในตลาดหุ้น เราไม่เสียเปรียบเจ้ามือมากหรอกครับ ในทางตรงกันข้ามผู้ที่กำเงินเข้ามาโดยที่มีมุมมองต่อตลาดว่าเป็นแหล่งทำเงินง่ายๆ หรือต้องการจะออมในหุ้น ท่านทำได้นะครับ แต่ไม่ใช่ออมได้กับหุ้นทุกตัว หุ้นหลายตัวแสดงให้เราเห็นแล้วว่า เค้าอยู่ในตลาดไปวันๆ บริษัทก็ไม่ได้มี vision ในการพัฒนาตัวเองให้เติบโต แบบนั้น smart money คนไหนก็ไม่สนใจ หุ้นนั้นจะถูกลืม เงินที่ท่านใส่ไปในหุ้นตัวนั้นที่หวังการเติบโตไม่ได้ ท่านจะต้องหน้าซีด และ สับสนกับคำถามมากมายที่ตัวเองต้องตอบเองทั้งตอบได้ และตอบไม่ได้ จนสุดท้ายลาออกจากการเป็นนักเก็งกำไร ลาออกจากการเป็นเม่าน้อยๆ จากกราฟของ THCOM เห็นได้ชัดเจนมากและสามารถมองกลไกของ Wyckoff ผ่าน Chart นี้ได้เลย ฝั่งซ้ายของกราฟมีแท่งเขียวจำนวนมาก ฝั้งขวามีแท่งแดงจำนวนมาก เป็นข้อพิสูจน์และเป็นข้อสนับสนุน Wyckoff Theory ได้อย่างชัดเจนที่สุด
-
ทำไมแอดมินจึงพูดถึง smart money ในการกำหนด cycle ราคาหุ้นเพราะเค้าเงินเยอะครับ ตลาดหุ้นขับเคลื่อนด้วยเงินโดยมีผู้ถือเงินเป็นผู้เล่นหลักภายใต้จิตวิทยาการลงทุนและเก็งกำไรของแต่ละคน smart money นั้นมีอยู่จริง เค้าแต่ละคนไม่รู้จักกันหรอกครับ จังหวะซื้อขายก็ไม่ได้นัดกันว่าจะเริ่มทำการขายวันนั้นวันนี้ หรืออาจจะมีก็ได้แต่เราในฐานะนักเก็งกำไร ต้องไปทำความรู้จักกับเค้าเพื่อขอสัญญาณขายจากพวกเค้าไหมครับ ไม่จำเป็นนะครับ บางครั้งการไขว่คว้าหาความได้เปรียบจากการมี connection หรือ relationship ที่ดีกับ smart money ทำให้ท่านได้เปรียบจริงหรือครับ ?? คนที่ได้เปรียบหรือคนที่จะชนะในเกมการเงินนี้ คือตัวท่านเอง ที่เป็นคนที่มี passion ในการสร้างผลกำไรและกระหายในชัยชนะ และความสำเร็จ ชนิดที่เกินพอดี มีความหลงใหลในสิ่งที่ทำ สามารถทำมันได้ทุกวัน จนในที่สุดประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง ก็มีให้เห็นเยอะแยะในยุคนี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขึ้นชื่อว่า ‘แชมป์เปี้ยน’ ต้องทำอะไรบ้าง แอดมินบอกเลยว่าทำเยอะกว่าคนทั่วไปแน่นอนครับ ทำมันจนเกินพอดีต่อเนื่องเป็นเวลานาน ท่านจะพบว่าแชมป์เปี้ยนท่านเองก็เป็นได้ในแบบของท่านครับ 



วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2562





[ m i n d s e t ]



แอดมินมีเรื่องจริงจะเล่าให้ฟังครับ ขอให้แฟนเพจโปรดอ่านจนจบ และคัดเอาประเด็นสำคัญที่ท่านเห็นว่ามันจำเป็นต้องใช้ในสนามเทรด มันเกี่ยวกับความเข้มแข็งของจิตใจ และความกล้าที่จะเปลี่ยงแปลงไปทำในสิ่งที่เราไม่คุ้นเคย โดยที่เรายังไม่รู้ผลลัพธ์ของมันเลยว่า ทำในสิ่งที่ต่างไปโดยสิ้นเชิงแล้วจะออกมาดีหรือเปล่า แอดมินตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือกมากนัก ทางเดียวที่จะพบความเปลี่ยนแปลงคือ เราต้องเปลี่ยนแปลง เพราะการหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง จากการกระทำแบบเดิมซ้ำๆ เค้าเรียกว่า ‘วิกลจริต’ ภาพที่ท่านเห็นอยู่นี้คือ ผลลัพธ์จากการรวบรวมความกล้า และ เชื่อมั่นในตัวเองว่าเราต้องเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้
-
นี่คือผลกำไรในปี 2018-2019 (รวมระยะประมาณ 1 ปี) ที่หุ้นเหล่านั้นถูกซื้อและขายออกมาเพื่อทำกำไร แอดมินขอยังไม่พูดถึงความย่ำแย่ในปี 2016 และ 2017 (ยังไม่นับปี 2015 ที่เข้าตลาดมาใหม่ๆเป็น Novice หน้าใสที่มีเป้าหมาย ทำเงิน100 ล้านจากตลาดหุ้นหรือมากกว่านั้น) ต้นปี 2018 เป็นปีที่เกิดความย่ำแย่ต่อชีวิตการเทรดของแอดมินมาก ยิ่งใส่เงินเข้าไปในตลาดมากเท่าไหร่ยิ่งจม และจม การเทรดใช้กระบวนการเดิมๆ จังหวะเข้าซื้อแบบเดิมๆ และยังไร้วินัยเพียงเพราะเป็นคนมีเงินเยอะ จะใส่เงินใน Port กี่บาทก็ได้ ‘ไม่เสียดาย’ แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นเสมอไป แอดมินใส่เงินในหุ้นเน่า เข้าถัวขาลง เมื่อราคาหุ้นดิ่ง เพียงไม่นานเงินเยอะๆที่มีก็ได้ใส่เข้าไปในตลาด จนหมดแบบไม่รู้ตัว เงินทั้งหมดถูกแปลงเป็นตัวหุ้น 3-4 ตัวที่ทำกำไรไม่ได้เลยซักตัวเดียว แอดมินกับความโอหังที่เป็นคนมีเงินมากไม่รู้จักเสียดาย กลายเป็นหมาหงอยหางตกที่ปกคลุมไปด้วยความกลัวที่เกิดขึ้นในจิตใจ 
-
อาการเจ็บปวดเริ่มแสดงออกมาให้เห็น มันเกิดขึ้นที่ใจของแอดมิน ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ความผิดพลาดครั้งนี้ส่งผลกับชีวิตประจำวันของแอดมินที่ควรต้องอยู่ในฐานะบริหารจัดการหลายๆอย่างเนื่องจากแอดมินเป็นนักธุรกิจ ที่กำลังปั้นบริษัทให้เติบโต เมื่อไฟไหม้ Port จิตใจว้าวุ่น เกิดความกระวนกระวาย วิตกกังวลและสับสน ทำให้ประเด็นขาดทุนในตลาดหุ้นส่งผลเสียเป็นวงกว้าง รวบไปถึงครอบครัว 
-
การทนเจ็บปวดกับเรื่องแบบนี้ แอดมินอธิบายออกมาเป็นคำพูดมันไม่ถึงใจ แต่แอดมินจำความรู้สึกนั้นได้ดี และแม่นยำที่สุด เงิน 4 ล้านกว่าที่เป็น Budget เริ่มต้นของการเรียน Class นี้ถือเป็นการเรียนครั้งสำคัญและมีค่าหน่วยกิตที่แพงมาก ไม่มีคนตัดเกรด ไม่มีสอบเก็บคะแนน มีแค่ผ่าน กับ ไม่ผ่าน ซึ่งต้องเดิมพันด้วยเงินจำนวน 4.4 ล้านบาท นี้หากสอบไม่ผ่านเงินต้องหมด แอดมินคงต้องหมดตัว แต่หากสอบผ่านแอดมินจะได้อยู่ต่อในตลาด รู้ไหมครับจากคนมีเงินจำนวนมาก (4.4 ล้านถือว่ามากสำหรับมือใหม่อย่างแอดมิน) ที่หอบเงินเข้ามาในตลาด เพื่อพิสูจน์ว่าตลาดหุ้นสามารถทำกำไรให้เราได้จริง มาวันนี้มันไม่ง่าย ขีดเส้นใต้ คำว่า #มันไม่ง่าย 
-
ยังจำวันแรกของ Class สัมมนาหุ้นที่ กทม.ได้ดี (ครั้งแรกของแอดมิน และเป็นครั้งที่ประทับใจที่สุด เมื่อปี 2016) วันนั้นอาจารย์ชี้นิ้วมาที่แอดมิน ซึ่งใส่เสื้อยีนส์นั่งหนาวปากสั่นอยู่แถวหลังๆเพราะแอร์มันเย็นมาก อาจารย์ถามแอดมินว่า ทำไมจึงเข้ามาในตลาดหุ้น ต้องการอะไรจากตลาดหุ้น แอดมินตอบว่า แอดมินเพียงต้องการจะพิสูจน์ว่า หากเรามี Mindset ที่ถูกต้องแล้ว สิ่งนั้นจะสามารถทำกำไรให้เราได้จริง หลังจากวันสัมมนาแอดมินกลับบ้านด้วยความหวังเต็มเปี่ยม มีกำลังใจ และใช้เทคนิคการเข้าซื้อและขายอย่างที่ได้เรียนมา แต่ในสนามจริง “ทฤษฎีมันใช้ไม่ได้” หากจิตใจเราไม่เข้มแข็งพอ สรุปก็คือ ทฤษฎีของการเป็นนักเก็งกำไร ช่วยได้จริงแต่สมองของเราที่ออกสั่งการภายใต้อารมณ์มันต้องได้รับการควบคุมจากเราอีกที ซึ่งมันยากตรงนี้นี่เอง 
-
รวมเวลา 3 ปีกว่าๆ ที่ลองผิดลองถูก ว่าเส้นทางของนักเก็งกำไรในตลาดหุ้น (แอดมินตั้งใจจะเป็นนักเก็งกำไร ไม่ต้องการเป็น VI) เค้าทำกำไรกันอย่างไร เรียกว่า เทรดมาเกือบๆ 200 เคส ไม่ได้กำไรเลย แถมขาดทุนไปแล้ว 600,000 บาท (Realized) และมี Unrealized อีก 400,000 บาท รวมเป็นขาดทุน 1ล้านบาท เงินทุน 4.4 ล้านโดนลบออก 1 ล้าน เหลือ 3.4 ล้าน สะเทือนใจแอดมิน มันจุกและอธิบายไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมเราปล่อยให้เงินหายไปขนาดนี้ ในหัววุ่นวายไปหมด และคิดจะยอมแพ้บ่อยครั้ง เพราะแอดมินไม่ไหวแล้วกับเหตุการณ์ที่บีบใจ เราอ่อนแอเกินไปในตลาด เราสู้เค้าไม่ได้ แต่รู้ไหมครับ ทำไมวันนี้แอดมินไม่ยอมเลิกรา ท่านคงเคยขับรถยางรั่ว หรือยางแตก ใช่ไหมครับ จะเป็นมอเตอร์ไซด์ หรือ รถยนต์ก็เถอะ ท่านทิ้งไหม ทิ้งรถแล้วเดินหนีไหม อารมณ์คือ มันทิ้งไม่ได้ รถคือสิ่งที่จะพาเราไปไหนก็ได้ด้วยความสะดวกสบาย เราต้องใช้ สุดท้ายเราต้องเอาไปปะยางหรือเปลี่ยนยาง แอดมินเสียดายความตั้งใจของตัวเอง อยากเป็นคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น แอดมินกลับมาทบทวนตัวเองใหม่ ตลอดเวลามารู้ว่า มีเงินเยอะ แต่สมองไม่ได้คิด เงินที่มีหายวับไปในตลาดได้ อันนี้คือความจริง
-
กลางปี 2018 เป็นการเปลี่ยนแปลงเทคนิคการเทรดของตัวเอง เกือบทั้งหมด จากการที่แอดมินลงทุนในความรู้ให้กับตัวเอง ทุ่มเทเวลาอ่าน ใช้เวลานอนให้น้อยลง อ่านหนังสือทั้งที่เป็นหนังสือแปล และหนังสือต้นฉับบที่นักเทรดระดับโลกเขียนไว้ นั่งสมาธิ (อาจจะเป็นสิ่งนี้ที่ทำให้แอดมินพบกับกำไรในตลาด) อ่านซ้ำ จดบันทึก ลงสนาม แก้ไข ปรับจูน ลงสนาม แก้ไข ปรับจูน ลงสนาม บันทึก ลงสนาม แก้ไข ลงสนาม ทำวนอยู่แบบนี้เป็นปี ทั้งในตลาดตอนขาลง และในตลาดตอนเค้าเป็นขาขึ้น จนในที่สุดพบว่า ผลกำไรที่ได้มา ไม่ได้เกิดจากการ ซื้อๆ ขายๆ หน้ามืดตามัว เทรดไปเรื่อย แต่มาพบว่า ผลกำไร เกิดจากการเทรดน้อยครั้งในตลาดขาขึ้น (ขาลงไม่เล่น และไม่ Shortหุ้น) และเกิดจากการเข้าซื้อที่แม่นยำ (แอดมินจะไม่ได้ให้ความสำคัญเรื่องจุดขายมากนักหากหุ้นทำกำไรให้เราแล้ว รู้แต่เพียงว่าต้องขายแล้วได้กำไร และถ้าผิดทางต้องไวต่อการเคลื่อนไหวของตลาดและราคาหุ้น) ได้คัดเอาองค์ประกอบสำคัญในการคัดเลือกหุ้นของตัวเอง ที่มีองค์ประกอบจำเป็นต่อการที่หุ้นตัวหนึ่งจะสร้างผลกำไรต้องมีอะไรในตัวหุ้นนั้นบ้าง รวมเอาประเด็นสำคัญในหนังสือหลายเล่มที่อ่านมาหลายรอบ ตกผลึกออกมาเป็นท่าเทรดที่เรียกว่า ได้ผลที่สุดในแบบของตัวเอง ทำกำไรให้แอดมินได้จริง(ไม่ใช่โชคดีหรือฟลุ๊ค) และที่สำคัญ ผลกำไรมาหาศาลให้กับแอดมิน เกิดจากการการ Merge Price pattern ของราคาหุ้น (และองค์ประกอบสำคัญอื่นๆ) เข้ากับจังหวะหยุดตกของ SET 
-
มาวันนี้ แอดมินสามารถล้างขาดทุน ทั้งหมดได้และมีกำไร +เพิ่มจาก 4.4 ล้าน มาอีก 1 ล้านบาท รวมเป็น 5.4 ล้าน (หุ้นบางตัวยัง Let Profit Run ได้) มีพอร์ตที่โตขึ้นได้จากการเปลี่ยน Mindset ที่เทรดด้วยความแม่นยำในการเข้าซื้อ (ขายเมื่อไหร่ก็ได้ถ้าหุ้นทำกำไรแล้ว เพราะแอดมินไม่ปล่อยให้กำไรหลุดมาจนขาดทุน) หนังสือหลายเล่มที่อ่านต้องให้เครดิต และที่สำคัญ แอดมินชื่นชมตัวเอง ที่ผ่านเรื่องแย่ในอดีตมาได้ด้วยตัวเองล้วนๆ ตลาดหุ้นวันนี้กลายเป็นสนามทำเงินที่ทรงเสน่ที่สุด ดึงดูดแอดมินให้หลงใหลในเกมจิตวิทยาผ่านกราฟราคา ถามว่าวันนี้การทำกำไรในตลาดยากไหมสำหรับแอดมิน ตอบว่ายากครับ แต่ไม่กลัวตลาดอย่างเช่นที่เคยเป็นอีกแล้ว 
-
อยากให้ท่านที่อ่านมาถึงท่อนสุดท้ายนี้ ทบทวนการเทรดของตัวเอง ดูในแต่ละเคสว่าเราผิดพลาดอะไรทำไมจึงขาดทุน และเราทำอย่างไร ทำไมจึงได้กำไร คัดเอาทุกประเด็นสำคัญเหล่านั้นที่ท่านได้จากการทบทวนหุ้นทุกตัวที่เข้าเทรด (เช่นเดียวกับแอดมิน) เราจะเห็นความฉิบหายที่เกิดขึ้นก่อนนี้และเห็นท่าไม้ตายที่แอบซ่อนอยู่ในผลกำไรนั้น สิ่งล้ำค่าที่เราผ่านมาแล้ว เราได้กลับไปนำมันมาใช้ในการเทรดครั้งต่อไปนับจากนี้ ให้เกิดมีผลกำไร 
-
ถ้าข้าพเจ้ามีเวลา 6 ชั่วโมง ในการ “ตัดต้นไม้” ข้าพเจ้าจะใช้ 4 ชั่วโมงแรก ในการ “ลับขวาน” ให้คม (abraham lincoln) 
-
ซื้อเร็วเกินไป >>> เราจะขาดทุน 
ซื้อช้าเกินไป >>> เราจะขาดทุน
ถ้าเราเฉียบคมในการเข้าซื้อ >>> กำไรมีแน่นอน

- แอดมินขอเป็นหนึ่งกำลังใจให้นักเก็งกำไรในตลาดหุ้นทุกคน -



[ b i g 7 s h o t s i n 3 y e a r s ] http://lnnk.in/iWX ตั้งแต่ปี  2016  เรามีโอกาสทำเงินได้กี่ครั้ง สำหรับแอดมินมองว่ามี...