วันพฤหัสบดีที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2561

My Win#3 : Case Study for SLP

SLP
- Market : SET
- Industry : Industrials
- Sector : Packaging


i) 1st See : เห็น SLP ที่ Most active gainer เพราะ Volume peak จึงได้เห็น SLP ติดใน range เป็นหารทำ new high ในรอบ 6 เดือน ราคายิงแท่งยาวมาจากฐานราคาแบบ Flat base

ii) Financial Statement : ไม่ดูงบ ไม่ได้วิเคราะห์เรื่องงบการเงินเลย ซึ่งผิดจากแนวทางการเก็งกำไรของ Trader แบบ Swing trader

iii) Take action : เข้าซื้อ SLP ในวันที่ 15.Dec.16 รับมาในราคา 1.90 บาท

iv) SET pattern :
ตลาดรวมเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาควบคู่กันไปเมื่อต้องเข้าซื้อหุ้น เพราะตลาดรวมเป็นสิ่งที่จะบอกเราได้ว่าผู้คนส่วนใหญ่มีมุมมองอย่างไรกับการลงทุนในตอนนั้น หากตลาดรวมคึกคัก ก็เหมือนกับว่าตลาดวันนั้นมีผู้กล้ามากกว่า แต่หากตลาดไม่ดีก็บ่งบอกว่าคนกลัวมีเยอะ ต่อให้สู้ไปก็ได้ไม่มากนัก แลบางทีจะเสียอีกด้วย ในวันที่เข้าซื้อ SLP นั้น SET ยังอยู่ sideway และมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น มีการทำ Higher low รอเบรคกรอบ sideway ที่ทำมาตลอด 3 เดือนก่อนหน้า

v) Wait and See I : เมื่อซื้อเสร็จปรากฎว่า SLP ย่อลงมาอย่างสวยงาม การย่อ คือการซับแรงขาย ให้นักเก็งกำไรบางส่วนเอาเงินออกเพื่อเปลี่ยนมือให้ผู้ถือหุ้นคนใหม่ที่มั่นใจกว่าเข้ามาซื้อ และย่อลงมาหน่อยเป็นเวลาหนึ่ง Week จากนั้น SLP เข้าช่วง mark up เต็มตัวด้วยแท่งเขียวยาวมาพร้อม Volume ที่สูงมาก Volume  สูง จะเป็นตัวส่งให้ Momentum ของราคาสามารถวิ่งขึ้นไปได้อีก (หากหุ้นไม่พบปัญหาใหญ่และถูกเท) แบบนี้ก็ Let profit run เลย 

vi) Sold : ขาย SLP เพราะลากเส้น Trend line ราคาหลุด Trend line ก็ขายเลย การขายครั้งนี้ถือว่าทำถูก เพราะราคาจากจุดขาย ดีดขึ้นไปอีกไม่เยอะ จากนั้น 2 วันราคาก็ร่วงลง ถือเป็นการ Distribution ที่ใช้เวลาน้อยมาก อาจจะเป็นเพราะหุ้นมี cap เล็กมากหุ้นเล็กหลุด Trend ต้องขายการที่ SLP ราคาขึ้นไปโดยที่ Volume ลดลงเรื่อยๆ ก็ต้องเฝ้าระวัง เพราะหุ้นเล็ก มีเจ้ามือ เขาจะทุบเมื่อไหร่ก็ได้ ขายที่ 2.24 ในวันที่ 19.Jan.17 หลังจากนั้นราคาของ SLP ไม่สามารถมาถึงยอดนี้ได้อีกเลยจนวันนี้ เหมือนที่ตำราว่าไว้ หุ้นเล็กถ้าลงแล้ว จะขึ้นยากมาก กลับตัวยาก



- Lesson Learn -
1) กล้าตัดสินใจ : เมื่อเห็นราคาผ่านกรอบ พร้อม Volume ก็เข้าทำเลยและมั่นใจมากขึ้นอีกเพราะ SET อารมณ์ดีและอยู่ในช่วงแนวโน้มขาขึ้น

2) Price pattern : ราคาเบรคกรอบ Flat base ต้องให้ Credit การสังเกต และพยายามหาหุ้นที่โดดเด่น ระหว่างวัน เพราะ SLP ทำตัวโดดเด่นระหว่างวัน หากทำการบ้านในวันก่อนหน้า อาจจะหาหุ้น SLP ไม่เจอ

3) การขาย : หุ้นเล็ก หลุดเทรนต้องขาย อันนี้ตำราบอกมา ถือว่าเป็นการซื้อและขายที่แม่นยำตัวนึงเลย

4) Let profit run :
การให้เงินทำงานและเฝ้าดูหุ้น SLP อยู่ตลอดหลังจากเข้าซื้อทำให้เราจับจังหวะการขายได้ดีขึ้น ซื้อแล้วต้องเฝ้า

:::::::::: Remark ::::::::

เนื้อหาทั้งหมดข้างต้นไม่มีเจตนาชี้นำการลงทุน เป็นการทบทวนเพียงเพื่อให้ได้มีการบันทึกในส่วนของสาระสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจและทบทวนการลงทุนและเก็งกำไรในส่วนของตัวเองเท่านั้น

#meeGUMRAI









วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

My Loss #4 : Case Study for ITEL

ITEL
- Market : mai
- Industry : Technology
- Sector : n/a

i) 1st See : เคยซื้อ ITEL ตอน IPO และขายในวัน เพราะที่เลือก IPO เพราะหุ้นมีข่าวกระแสการทำกำไรค่อนข้างแรง ซื้อและขายในวัน กำไร 80,000 คราวนี้ตั้งใจจะทำกำไรอีกครั้งกับหุ้นตัวนี้ ติดตามหุ้นตัวนี้มาโดยตลอด เห็น Chart pettern เป็นการจ่อเบรค ย้ำว่าแค่จ่อเบรครอทำ All time Hight ที่มี Volume supoort มหาศาล เห็นแบบนี้ต้องเข้าซื้อแล้ว และซื้อหนักอีกด้วย
ii) Financial Statement : ไม่มีการดูงบการเงินใดๆทั้งสิ้น ยังไม่ใช่ข้อมูลที่ต้องทราบ ซึงผิดมหันต์ การที่หุ้นจะวิ่งได้นั้น ต้องมียอดขายและกำไรที่เพิ่มขึ้นทุกไตรมาส แต่สำหรับ ITEL เราไม่ได้นำข้อมูลสำคัญตรงนี้มาช่วยวิเคราะห์เลย

iii) Take action I : ซื้อ!! 3.Mar.17 @5.90 บาท (ราคาปัจจุบันหลังแตกพาร์ 0.5 : 1) เพราราคายิงแท่งเขียว (แอบมีทิ้งไส้) พร้อมกับ Volume ที่มากมายก่ายกอง ซึ่งเมื่อ Volume support เชื่อว่าเป็นเชื้อเพลิงให้จรวดเดินทางไปต่อ แต่...หายนะกำลังจะมา

iv) Wait and See I : วันรุ่งขึ้นราคาขึ้นไปได้จริง ขึ้นต่อเนื่อง 3 วันติด ทำ New High ที่ 6.15 บาทซึ่งในวันนี้ 6.15 คือยอดที่สูงที่สุดตลอดชีวิตของ ITEL จนวันนี้ยังไม่เคยวิ่งถึง 6.15 บาทได้เลย และหายนะคือ 8.Mar.17 แท่ง Big Bear กลืนกินทุกแท่ง 2 แท่งก่อนหน้านี้ แท่งแดงแบบกลืนกินแบบนี้จำไว้เลยว่ามันได้สร้าง Momentum ใหม่ชนิดเหวี่ยงลงแต่เม่าเจ้ากรรม ไม่ยอมปล่อยหุ้นเพราะอ่อนต่อโลก หวังลมๆแล้งๆว่าราคามันต้องกลับมาที่นี่ในอีกไม่นาน ฝูงหมีพากันมาแต่ทำไมไม่ยังคงถือ เพราะอะไรจึงไม่ยอมขาย จากแท่งแดงยาวแท่งแรก ก็ เกิดแท่งที่ 2 อีก อย่างที่เค้าว่าคือ แมลงสาบไม่ได้มาตัวเดียว แท่ง2นี้หลุดแนวรับไปแล้ว กอดหุ้นไว้ด้วยความอึดอัด ไร้ความสุขทางใจ มันแย่มากที่วิสัยเสียแบบนี้ เพราะไม่มีการกำหนด Stop Loss ไว้เลย แม้มีจังหวะหุ้น Take ตัวขึ้นถึง2ครั้งแต่ก็ไม่ยอมขาย ขายทุนน้อยๆ ได้ก็ไม่ทำ สุดท้าย จบชีวิตด้วยการเซ่นสังเลยที่มีการสูญเสียมหาศาล

v) Sold : การขายเกิดขึ้นวันที่ 21.Feb.18 สุดท้ายต้องคายของออกเพราะยากแก่การถือเอาไว้ เห็นแล้วว่ายิ่งถือ ยิ่งแย่ ราคาหุ้นดิ่งลงเรื่อยๆ เป็นเวลาเกือบปีที่ทนถือเอาไว้ตั้งนาน สุดท้ายอึดอัดต้องขายที่ 4.84 บาท เข้าตำราเม่าแท้ๆเลย

- Lesson Learn -

1) ไม่วาง Stop loss : Trader ที่ขาดการวางแผนคือคนโง่ ตลาดส่งสัญญาณแล้วแต่ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ละเลยวินัย ต้องโดนลงโทษอย่างสาหัส 

2) ไม่ดูตลาดรวม SET : หากรู้ว่า SET ทำตัวอย่างไรเราก็น่าจะวางแผนการเทรดให้เหมาะสมกับตลาดเพราะเมื่อตลาดอารมณ์ดี หุ้นร้อยละ 80% ในตลาดจะดีไปด้วย ในการณี ITEL เทรดแบบคนไร้ความเสียดายเงินอย่างแท้จริง อ่อนต่อโลก และมองโลกสวยงามไปหมด

3) ไม่ดูงบการเงิน : ผิดพลาดที่สุด ราคาหุ้นวิ่งได้เพราะผลประกอบการออกมาดี อันนี้ คือ Fact ที่แท้จริง หุ้นเน่าไม่มีกำไร ใครเค้าจะลงทุนกัน case นี้ซื้อๆไปเถอะ สมองไม่ได้คิด วิเคราะห์ สุดท้ายขาดทุนยับเยินแม้เงินที่ไดเจาก IPO ก็ชดเชยได้ไม่หมด ไม่ Cover

4) Pivot point :
ไม่ชัดเจนเลยสำหรับ Pivot เค้ายังไม่ได้เบรค ITEL แค่จ่อเบรคเท่านั้นหากยังไม่ได้ทำการเบรค The Line of Lease Resistance ได้ก็ไม่ควรเข้าไปยุ่ง เข้าเร็วเสียเงิน เข้าช้าก็เสียเงิน

5) mai :
ทางที่ดีเลือกหุ้นให้เลือกเล่นหุ้นใน SET ดีกว่าเพราะกองทุนและเงินใหญ่จะชอบมากกว่าเพราะเค้าจะคล่องตัวกว่าเมื่อต้องเข้าหรือออก การซื้อหุ้นใน mai ตลาดเล็กมีแต่รายใหญ่เข้าของที่ ก็ต้องระวังและรวดเร็วเมื่อเจ้ามือให้สัญญาณขาย จงขาย!



:::::::::: Remark ::::::::


เนื้อหาทั้งหมดข้างต้นไม่มีเจตนาชี้นำการลงทุน เป็นการทบทวนเพียงเพื่อให้ได้มีการบันทึกในส่วนของสาระสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจและทบทวนการลงทุนและเก็งกำไรในส่วนของตัวเองเท่านั้น

#meeGUMRAI


วันพฤหัสบดีที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2561

My Win #2 : Case Study for AOT

AOT
- Market : SET
- Industry : Services
- Sector : Transportation & Logistics


i) 1st See : AOT ช่วงนั้นหุ้นโดนเล่นงานเรื่องอะไรซักอย่าง (จำไม่ได้) แต่ราคาหุ้นรูดลงมาตลอด เป็นช่วงที่ AOT เจอข่าวร้ายแล้วบังเอิญไปเห็นเข้า ด้วยความที่รู้มาว่า AOT คือหุ้นผูกขาดการบิน ดังนั้นการได้เจอกับ AOT สีแดงบนกระดาน สมอง (ไร้การฝึกฝน) สั่งให้ซื้อเลย เดี๋ยวก็ขึ้น

ii) Financial Statement : ไม่มีการดูงบการเงินใดๆทั้งสิ้น ตอนนั้นดูไม่เป็น และไม่อยากดูเพราะคิดว่ามันยุ่งยากซับซ้อน(ซื้อหุ้นไม่ดูงบการเงิน ถือว่าผิด)

iii) Take action I : การเข้าซื้อเกิดขึ้นทั้งหมด 3 ครั้งในเวลา 17 วัน วันแรกเข้าซื้อที่ราคา 274 . คือ 11.Aug.15 (ราคาก่อนแตกพาร์ 10:1 ถ้าเป็นปัจจุบันก็จะมีต้นทุนที่ 27.40 บาท ตอนที่เขียนบทความ 7.Dec.18 ราคาหุ้น AOT อยู่ที่ 65.50 บาท) เพราะหุ้นร่วงแรงมาก เรียกได้ว่ารับมีดกันเลย ซื้อถัวครั้งที่2 เกิดขึ้นวันที่ 18.Aug.15 ที่ราคา 265 บาท และซื้อถัวครั้งที่3 ในวันที่ 28.Aug.15 การซื้อ3ครั้งถัวขาลงโดยแท้จริง ใช้เงินกว่า 7 แสนบาทในการซื้อด้วยความมั่นใจว่าหุ้นจะมีราคาวิ่งกลับมาที่ยอดเดิมได้อีกแน่นอน เพราะหุ้นที่มีธุรกิจผูกขาดเจอข่าวร้ายเกิด Panic ก็ช้อนซื้อไว้ ซื้อไว้ และซื้อไว้ พอฝุ่นตลบเดี๋ยวนักลงทุนก็กลับมากันเองแหละ อันนี้คือแนวคิดการซื้อหุ้นในตอนนั้น

iv) Wait and See I : เดชะบุญ ความอดทนเป็นผล แต่ก็ใจสั่นเต็มทีแหละ หุ้นเกิด Selling Climax วิ่งไป Low ที่ 52.20 แล้วเด้งขึ้นเกิด capital gain จากการช้อนซื้อแล้วได้ราคาต่ำ พอราคาวิ่งขึ้นก็สบายใจแล้ว วันนี้ถ้าดูจากกราฟหุ้นตัวนี้จริงๆแล้ว มันไม่ได้มีสัญญาณให้ซื้ออะไรเลยด้วยซ้ำ หนำซ้ำหุ้นมีโมเมนตัมขาลงอีกต่างหาก ซึ่งอันตรายที่จะเข้าไปซื้อ ความจริงแล้ว AOT วิ่งลงไปอีกนิดหน่อย หยุดที่ 52.20 บาท แล้วก็กลับตัว ก็ถืว่าเป็นความโชคดีของมือใหม่มากกว่า ดังนั้นการซื้อหุ้นถ้าจะเอาราคาต่ำจริงๆ ต้องซื้อตอนที่ตลาดเกิดวิกฤติหนักๆสาหัสเท่านั้น ถ้าแค่ซื้อเพียงเพื่อเล่นกับข่าวร้ายที่ส่งผลระยะสั้นนั้น บอกเลยว่าอันตรายมาก มีสิทธิติดหุ้นยาว

v) Sold : การขายเกิดขึ้นวันที่ 3.Feb.16 กำไร 34.3% (ขายที่ราคา 36.80 บาท) ของเงิน 7 แสนบาท ก็ถือว่าสามล้อถูกหวยแท้ๆ บุญยังมี การขายนั้นไม่ได้มีสัญญาณอะไรให้พอที่จะบอกว่าจงขาย การขายเกิดขึ้นเพียงเพราะอยากได้ Realized เป็นกำไรออกมาเนื้อเท่านั้นเอง หลังจากขายวันนั้นแล้วราคา AOT ยังคงวิ่งไปต่ออีกจนถึง 43.00 บาท ซึ่งจะมีกำไรเพิ่มอีกพอสมควร แต่ตอนนั้น ไม่รู้จุดขาย ก็เลยขายตามความอยากขายเท่านั้นเอง



- Leason Learn -
1) รับมีด : วันนี้ได้เรียนรู้การรับมีด ( ซื้อหุ้นในตอนทีเกิด Panic) แล้ว ว่ามันจะต้องเจ็บตัวจริงๆ case AOT เป็น case ยกเว้น เทวดาให้โชคกับมือใหม่เฉยๆ (ความโชคดีของมือใหม่มีจริงๆเพียงแค่เทวดาเมตตาให้ได้กำไร ก่อนจะขาดทุนในวันนี้ก็เท่านั้น)

2) ไม่รู้จุดขาย : จริงๆแล้วเรื่องจุดขายหากได้กำไรแล้วเราจะขายที่ไหนก็ได้เพียงแค่จุดขายที่เราควรขายนั้นมันต้องมีสัญญาณให้ขาย จะขายในตอนที่ราคาหุ้นอ่อนแอจะหลุด Trend line หรือ จะขายในตอนที่ราคาวิ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่งก็ย่อมได้ แต่ขอให้มีหลักการและแผนการขายเอาไว้ด้วยเพื่อจะได้ Take profit ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยโดยใช้สัญญาณจากกราฟ ในการบอกจุดขาย

3) ไม่มีแผน Stop loss : ราคาลง ยิ่งลง ยิ่งซื้อ O’neil บอกว่าการเอาเงินดีไปใส่ในหุ้นที่กำลังจะแย่นั้น เป็นเรื่องที่อาจจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่แย่มาก การซื้อถัวขาลง ถือว่าผิดวิสัยของนักเก็งกำไร

4)
การซื้อหุ้น Growth นั้นถือว่าดี การเข้าซื้อหุ้นต้องเลือกหุ้นที่แข็งแกร่งอย่าง AOT ที่เป็นขาขึ้นมาโดยตลอดจนถึงวันนี้ก็ยังคงอยู่ในขาขึ้นแม้จะผ่านมา 3 ปีแล้ว AOT ผูกขาด กำไรดี มีงบดี และมีการขยายธุรกิจตามทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ 





การซื้อถัวในวันนี้เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ เรามีcase แย่ให้เห็นแล้ว GL ที่ทำเรา Loss 80% เพราะซื้อถัวขาลง ในหุ้นที่กำลังประสบปัญหา ดังนั้นในตอนนี้การเข้าซื้อของเรา ดู Price pattern, Volume และ งบการเงินเป็นหลักเพื่อคัดเอาความแข็งแกร่งที่สุดใน Sector นั้นๆ ออกมา และ้องมี SL ไว้เสมอหากราคาหุ้นสวนทางกับที่เราคาดเอาไว้ การซื้อถัวจะไม่เกิดขึ้นกับเราอีกแล้ว














วันเสาร์ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2561

My Loss #3 : Case Study for TASCO

TASCO
- Market : SET
- Industry : Property & Construction
- Sector : Construction Materials


i) 1st See : 43.30 คือต้นทุนของเราในหุ้นตัวนี้ การเห็นหุ้นตัวนี้ครั้งแรกนั้น เป็นผลพวงมาจากการสัมมนาครั้งแรกของเราเช่นกัน การสัมมนาเรื่องหุ้นครั้งแรกในชีวิตจบไปหมาดๆ แล้วพวกเค้าได้พูดถึงหุ้นตัวนี้ตลอดทั้งวัน TASCO เป็นหุ้นที่ให้กำไรกับผู้ถือหุ้นอย่างมหาศาล เรื่องนี้ฝังอยู่ในหัวมาโดยตลอด แม้สัมมนาจะพูดถึงทฤษฎี Wyckoff ย้ำๆก็ตามที การจะซื้อหุ้นตัวนี้เราให้อะไรคิด! บอกเลยว่า ใช้จินตนาการล้วนๆ ทั้งที่ไม่ควรจะซื้อเป็นอย่างยิ่ง 43.30 ขาดอีก 2 สตางค์ จะเป็นราคาที่ TASCO ไปได้สูงที่สุดในชีวิตวัน และเราก็ซื้อมาในราคาเกือบที่ชีวิตมันเคยได้มาถึง
 
ii) Financial Statement : ตอนที่เข้าซื้อ ไม่ได้ดูเรื่องงบการเงินเลย เข้าซื้อแบบอิงความอยากลอง อยากซื้อ อยากพิสูจน์ ล้วนๆ ว่า อี Wyckoff เนี่ย มันจะจริงรึ? 4 state ที่ว่า Accumulation > Mark up > Distribution > Mark Down งบการเงินที่สัมมนาไม่ได้สอน ตอนแค่การปรับ Mind set ในการเก็งกำไร เท่านั้นเอง บอกเลยว่าจากวันนั้น มาวันนี้ กระบวนการคิด การเก็งกำไร เปลี่ยนไปมาก ปรับปรุงเทคนิคการเข้าซื้อมาโดยตลอด แต่ก็ เจ็บสาหัสมาตลอดทางเหมือนกัน เงินแลกประสบการณ์ ยอมไหม ...ยอม ซิ (ซื้อหุ้นไม่ดูงบการเงิน ถือว่าผิด)

iii) Take action I : การซื้อเกิดขึ้นหลังจากจบสัมมนาได้ไม่นานนัก TASCO เป็นหุ้นที่ผู้เข้าร่วมสัมมนาหลายคนได้กำไร 100% ขึ้นไป และ TASCO เป็นหุ้นที่ทำกำไรเป็นเด้งได้ทั้งที่ SET เป็นขาลง!! งง ซิ คราวนี้ถึงตาเรามั่งแล้ว เราจะซื้อบ้าง ตัดสินใจซื้อด้วยเหตุผล 2 อย่าง คือ1. พิสูจน์ Wyckoff 2. อยากได้กำไรเหมือนคนอื่นๆเค้าบ้าง แต่หารู้ไม่ว่าบนดอย หนาวมากเลยย ความคาดหวังเป็นอย่างเดียว กำไรจาก TASCO!! เข้าซื้อ /8.Oct.15 ทุน 43.30B. ยอดตึกใบหยกยังเตี้ยกว่ายอดนี้

iv) Wait and See I : เวรกำวันรุ่งขึ้น ถึงกับยืนงงในดงตีน เกิดอะไรขึ้นกับ TASCO ของเราหุ้นโดนเทจากผู้ถือหุ้น (ทำไมต้องเป็นวันนี้) มีแท่งแดงยาวเกิดขึ้นเป็นแท่งแรกที่ส่งสัญญาณการเกิด ฏรstribution 8nv การกระจายุ้นจากรายใหญ่ได้เกิดขึ้นแล้ว และแท่งเทียนแท่งนี้ ลากฝูงหมีมาด้วย เวรกำ กรูไม่เคยรู้ว่าจะโดนเทขนาดนี้ งง และ งง มือใหม่ ชีวิตแทบคลั่ง ทำกันได้ลงคอ วันนั้นที่เกิดแท่งแดง ยังคงไม่กล้าขาย (ตอนนั้นไม่มีแผนห่าอะไรเลย ว่าจะต้อง Cut loss เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ถือหุ้นกระเตงๆ หวังแต่กำไร ไม่อยากขาดทุน ก็เลยไม่ขาย)

v) Stop lost I : มาขายหมด ทนถือไม่ได้ตอน 30.Oct.15 เจ็บปวดที่สุด รู้สึกตัวจะชาชาและเราขายช้าเกินไป ตรงนี้ทำให้เข้าใจและสัมผัสได้ถึงการแจกจ่ายของหรือการกระจายหุ้น Distribution ได้อย่างชัดเจนที่สุด การกระจายหุ้นมีอยู่จริง รายใหญ่ส่งมอบของให้รายย่อยนั้นมีอยู่จริง การรับซื้อหุ้นก็เหมือนการรับซื้อในราคาประมูล หากคนเคาะได้มาที่ราคาสูง หากขายที่ราคาสูงกว่าไม่ได้ คนคนนั้นต้องยอมขายในที่ราคาต่ำกว่าทุน จึงจะขายออก สรุปคือขาดทุนไม้แรกหลักแสน เท่านั้นไม่พอ

vi) Take action II : Wyckoff
บอกว่าเมื่อราคาผ่ากระบวนการ Distribution แล้วจะเข้าสู่ Phase mark down ซึ่งจะกินเวลานานแค่ไหนไม่มีใครรู้ ดังที่มีคำพูดที่ว่าหุ้นจะขึ้นไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะลง และหุ้นจะลงไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะขึ้น Phase นี้มั่นใจว่าหุ้น Tasco ราคาหยุดลงแล้ว เพราะเค้าเคลื่อนตัว Sideway เป็นระยะเวลา 4 เดือน และมีราคากระตุกจะ Break กรอบนี้ และเบรคได้จริงมาพร้อมกับ Volue ที่สูงมาก มั่นใจว่าเป็นการสร้าง mArk up รอบใหม่แน่ๆ เข้าซื้อที่ 28.55 บาท วันที่ 21.Jun.16 ขอแก้มือ แต่มันไม่ได้เป็นอย่างที่คิดไว้เลย ราคาหุ้น TASCO กระตุกขึ้นเพื่อลงต่อ ทั้งที่ SET ขึ้นมาจากฐานราคาที่น่าเชื่อถือ แล้ว 8% ( SET ยืนยันเป็นขาขึ้นรอบใหม่เมื่อวันที่ 29.Jan.16)

vii) Wait and see II :
มหากาพย์ TASCO ยังมีต่อ และราคาของเค้าโค้งตัวลงไปทำ new low และที่ new low ตรงนี้เองเป็นสัญญาณว่า TASCO อ่อนแอเกินไปแล้ว เหมือนที่ Wyckoff บอกไว้ว่าหุ้นทำ new low แสดงว่ายังไม่หมดระยะ  Mark down ในที่สุดตัดขาดทุนครั้งที่ #2

viii) Stop loss II :
ขายหมดเกลี้ยงตอนที่ 9.Aug.16 การตัดขาดทุนครั้งนี้เร็วกว่าครั้งแรก ไหมตัวทันแต่สุดท้ายก็คือขาดทุนโดนอีกหลายหมื่นที่ต้องสังเวยให้ตลาด ได้เห็นว่า TASCO ยังขายไม่หมด หรือยังไม่หยุดขายนั่นเอง Supply ยังไม่หมดจากตลาด ยังคงขนหุ้นมาทุ่มใส่ หุ้นรูดลงไปต่ำที่ 16ใจ บาท.ในวันที่ 13.Oct.16 และ 13.10 วันที่ 6.Jul.18 ต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ของจริง นึกสภาพไม่ออกหากยังไม่ขายขาดทุนออกมาในวันนั้น ทุน 28 บาทนั่งมองราคาลงมาที่ 13.10 บาท - เกิน 50% นักเก็งกำไรมันจะทรมาณขนาดไหน ไม่มีความสุขแน่ๆ แต่หากเป็น VI เค้าอาจจะไม่สนเรื่องนี้เท่าไหร่ (มั้งนะ)

ix) Sold : การขายทั้งสองครั้งขาดทุนหนัก เรียกว่าหนักที่สุดไหม ก็หนักเอาการ ขาดทุนเยอะเป็นอันดับสองรองจาก GL ถึงได้รู้แจ้งสัจธรรรมว่าซื้อหุ้นขาลงมีแต่เสียกับเสีย อย่าซื้อหุ้นในช่วง Mark down แม้ SET จะเป็น State mark up ก็ตามที เราได้รู้อะไรจาก case ย่อยยับ case นี้
1) อารมณ์ : โลภเข้าครอบงำ อยากได้เงิน 100% เหมือนคนอื่นๆเค้าบ้าง แต่ไม่ได้ดูกราฟเลยว่าหุ้นขึ้นไปจนถึงจุดกระจายหุ้นแล้ว ยังมีหน้าจะซื้อแล้วนอนฝันจะเอากำไร 100% เพ้อแบบโง่ๆ ปล่อยให้อารมณ์ควบคุมหรือมีน้ำหนักมากกว่าเหตุผล ก็จะพบจุดจบที่ย่ำแย่

2) อยากเอาคืน : อันนี้เหมือนรบแพ้แล้วขาขาด ก็ยังจะหิ้วขาอีกข้างนึงที่เหลือออกรบอีกด้วยอาการแค้นสุมทรวง สุดท้ายก็ตายสมใจอยาก อย่าทำแบบนี้เพราะตลาดเค้าไม่สนว่าคุณเป็นใคร เจ็บอะไรมา จะมาล้างแค้นกันก็ช่างหัวเมิง SET รู้แค่เป็นพื้นที่แสดงภาวะของ Demand supply เท่านั้น คนคิดแค้นไม่เป็นกลาง คนที่มีทัศนคติเชิงลบกับตลาด จะพังพินาศในที่สุด 

3) ไม่มีแผน Stop loss ที่ชัดเจน : ปล่อยให้ราคารูดลงจนเห็นตัวเลขแดงโร่ค่อยสำนึกว่าจะต้องขายเอาเงินส่วนใหญ่ออกมาแล้ว ซึ่งผิดนะ นักเก็งกำไรที่ดี ต้องทำตามแผน Stop loss โดยอ้างอิง SET ด้วยเป็นหลัก SET SIDEWAY หรือ Down trend SL ต้องสั้นกระชับ SET ขาขึ้น SL ยาวหน่อยเพื่อปล่อยให้กำไรได้ run 

4) Bias กับ Wyckoff theory : กราฟ Wyckoff นี้คือของจริง วันที่ซื้อหุ้นทั้ง2 ครั้งนั้นเป็นวันที่ซื้อหุ้น TASCO ในราคาสูงทั้งสองครั้ง แต่ซื้อในตอนที่ TASCO เค้าเลิกเล่นกันแล้ว Mark down คือหายนะ อย่าริเล่นหุ้นหรือเข้าซื้อหุ้นในช่วงนี้เด็ดขาด นอกจากจะตายแล้ว ศพ ยังไม่เหลือเศษเนื้อให้หนอนแทะ

5) สัญญาณ Fault break มีจริง : ไม่เคยได้ให้ความสำคัญกับเรื่อง Fault break ละเลยและไม่เข้าใจ หุ้นที่ยังขายไม่สะเด็ดน้ำจะเกิด Fault break เสมอ การเข้าซื้อหุ้นที่ราคาคิดเอาเองว่าต่ำแล้ว โดยมากมักจะได้ขายที่ราคาต่ำกว่าเสมอ ระวังเอาไว้ให้ดีเถอะนะ เรื่องของการซื้อของราคาถูก ของถูกแล้วดี ไม่มีอยู่จริง มีแต่ของแพงแล้วดี อันนี้มีจริง น้ำหอมCCเกรดต่ำราคาถูกก็จริง แต่คุณภาพมันไม่ได้ ส่วนน้ำหอมBrand name เกรดนำเข้าอันนั้นของดีราคาแพง ใช้แล้วหอมฟุ้งทั้งวัน มันต่างกันนะ หุ้นก็เหมือนกัน ของถูกให้ระวัง หุ้นราคาตก มันต้องมี Something ที่ไม่ชอบมาพากล 



เมื่อได้ทบทวนกระบวนการคิดและการ Action ในหุ้นที่สร้างความเสียหายให้ Port นั้นเราได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกมากมายในวันนี้ ประสบการณ์ที่แลกมาด้วยเงินแสนกว่าปลายๆนั้น มีค่าเป็นการซื้อ level ที่ราคาแพงมากครั้งหนึ่งของเรา ทุกกระบวนการคิด การทำงาน การทำการบ้าน ตั้งแต่ต้นจนจบ ต้องอยู่ภายใต้เหตุผลที่ตลาดได้เฉลยเอาไว้แล้วทุกครั้งทุกวันที่ตลาดปิด เค้าให้ความจริง FACT ที่สุดแล้วบนกระดานนั่น เอาข้อมูลตรงนั้นมาคิดต่อ เพื่อให้ได้สบโอกาส จังหวะ ในการเข้าซื้อที่ดี มีความเสี่ยงน้อยที่สุด อย่าได้เอาเงินที่เราหามาอย่างยากลำบากไปแจกจ่ายให้มหาชนในตลาดอีก จำไว้เลย 

:::::::::: Remark ::::::::


เนื้อหาทั้งหมดข้างต้นไม่มีเจตนาชี้นำการลงทุน เป็นการทบทวนเพียงเพื่อให้ได้มีการบันทึกในส่วนของสาระสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจและทบทวนการลงทุนและเก็งกำไรในส่วนของตัวเองเท่านั้น



[ b i g 7 s h o t s i n 3 y e a r s ] http://lnnk.in/iWX ตั้งแต่ปี  2016  เรามีโอกาสทำเงินได้กี่ครั้ง สำหรับแอดมินมองว่ามี...